เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากหน้าแก่ก่อนวัย วิธีลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักค้นหา อยากรู้วิธีกู้ความหนุ่มสาวให้กลับคืนมา เพราะยิ่งวัยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ผิวหน้าจะค่อย ๆ ขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยปรากฏบนใบหน้าได้ง่ายดายจากผิวที่แห้ง เพราะการสูญเสียอีลาสตินและคอลลาเจน หลายคนที่ปล่อยปัญหาไว้โดยไม่แก้ไขก็จะยิ่งปรากฏริ้วรอยรอบดวงตา รอยตีนกาให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ทำความรู้จักกับริ้วรอยบนใบหน้า
เมื่อวัยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ 25 ปีเป็นต้นไป ร่างกายเราจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดน้อยลง โครงสร้างผิวอ่อนแอลง เซลล์ผิวหนังมีกระบวนการทำงานที่ช้าลง ความสามารถในการอุ้มน้ำของเซลล์ผิวลดน้อยลง ปัญหาที่ตามมาคือ ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยตื้น ๆ เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณที่มีการแสดงสีหน้า มีการขยับเขยื้อนบ่อย ริ้วรอยจึงเกิดได้ง่ายขึ้น เมื่อเวลาล่วงเลยไปเป็นระยะเวลานานผิวจะเริ่มหย่อนคล้อย และมีร่องลึกเพิ่มมากขึ้น
ริ้วรอยบนใบหน้า เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
1.) วัยที่เพิ่มขึ้น
ร่างกายคนเราเมื่ออายุเยอะขึ้นก็จะผลิตอีลาสตินและคอลลาเจนได้ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลง ผิวขาดความชุ่มชื้น เซลล์ผิวอ่อนแอลง และค่อย ๆ ปรากฏริ้วรอยและความหย่อนคล้อยขึ้นบนใบหน้า หากทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษานานวันเข้าก็จะเปลี่ยนจากริ้วรอยตื้น ๆ กลายเป็นร่องลึกได้
2.) การแสดงสีหน้าบ่อย ๆ รวมถึงพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า
- หน้าผากมีริ้วรอย จากการแสดงสีหน้าบ่อย ๆ เลิกคิ้ว
- ใต้ตาเกิดริ้วรอย จากการยิ้มแบบหยีตา พฤติกรรมที่ชอบเช็ดตาหรือขยี้ตาแรง ๆ รวมถึงการนอนดึก นอนน้อย
- ร่องแก้มมีริ้วรอย จากการชอบนอนในท่าตะแคง นอนคว่ำ รวมถึงการหัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ก็เกิดร่องแก้มได้เช่นกัน
ริ้วรอยแบบตื้น VS แบบลึก ต่างกันอย่างไร ?
- ริ้วรอยตื้น ๆ
คนที่อยู่แต่ในห้องแอร์ทั้งวัน หรืออยู่ในที่อากาศเย็นจะส่งผลให้ผิวขาดน้ำ ผิวชั้นบนสุดเกิดความแห้งกร้าน รวมถึงคนที่เริ่มอายุเยอะก็จะเกิดริ้วรอยแบบตื้นได้ง่ายเช่นกัน
- ริ้วรอยร่องลึก
ในคนที่มีปัญหาผิวแห้งมาก มักพบปัญหารอยเหี่ยวย่นที่เป็นร่องลึก เกิดจากกล้ามเนื้อหดตัว ทำให้หนังกำพร้าและหนังแท้เกิดการดึงเข้าหากัน รอยย่นจึงดูใหญ่ขึ้น แล้วยิ่งถ้าเราชอบแสดงสีหน้าบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยักคิ้ว ขมวดคิ้ว เลิกหน้าผาก หยีตาเยอะตอนยิ้มจนติดเป็นนิสัย ร่องที่เคยตื้นก็จะยิ่งกลายเป็นร่องลึกไวขึ้นอีก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่อยากมีริ้วรอยบนใบหน้าก่อนวัยอันควร
พฤติกรรมการกินอาหารก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย เพราะการรับประทานอาหารบางประเภทในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลให้ระบบการทำงานในร่างกายส่วนต่าง ๆ แย่ลง ผิวหน้าและผิวกายจึงดูโทรม ไม่สดใส
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง
ใครที่เสพติดการกินของหวาน ขนมหวาน ที่มีน้ำตาลมาก เซลล์ผิวจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพจากการที่น้ำตาลไปจับตัวกับคอลลาเจนในร่างกายของเรา ผิวจึงขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้หน้าดูแก่ก่อนวัย
- อาหารปิ้งย่างไหม้ ๆ
อาหารจำพวกปิ้งย่างเกรียม ๆ ไหม้ ๆ ของโปรดของหลายคน เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย เพราะส่วนที่ย่างจนดำและไหม้เกรียมจะมีสารไฮโดรคาร์บอน กินเข้าไปบ่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้
- การดื่มเหล้าเบียร์เป็นประจำ
เป็นที่รู้กันดีว่าเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดนั้นทำร้ายตับ ทำให้ตับกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ไม่ดี ผิวหน้าจึงเหี่ยวย่น มีริ้วรอย เกิดจุดด่างดำ ใบหน้าดูโทรม
- การดื่มชากาแฟมากเกินไป
ในชากาแฟมีสารคาเฟอีน จะไปยับยั้งการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ส่งผลให้ผิวหนังขาดความเต่งตึง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นเร็วกว่าวัยอันควร
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารแปรรูป อาหารรสชาติเค็ม
ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสเค็ม หรืออาหารแปรรูปจำพวกไส้กรอก เบคอน หมูยอ กุนเชียง ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณสูงแล้ว เรายังต้องเผชิญกับสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ วัตถุกันเสียในอาหารที่จะไปกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย และเกิดอาการหน้าบวม ตัวบวม
เหตุใดริ้วรอยบนใบหน้าจึงลึกขึ้นกว่าเดิม ?
- การดื่มเหล้า สูบบุหรี่
แอลกอฮอล์ในเหล้าเบียร์ และสารนิโคตินในบุหรี่ เป็นตัวการร้ายจะส่งผลให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพลง ริ้วรอยจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็พบว่าหน้าแก่กว่าเพื่อนในวัยเดียวกันซะแล้ว
- การขัดหน้าบ่อย ๆ
สาว ๆ หลายคนที่ชอบขัดหน้าบ่อย ถูหน้าแรง ทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง ผิวแห้ง เมื่อผิวไม่ชุ่มชื้นจะเกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่าย
- ออกแดดแรง ๆ เป็นประจำ
บางคนอาจคิดว่าการที่ผิวจะถูกแสงแดดทำร้ายนั้นต้องเกิดจากการไปนอนอาบแดดเป็นเวลานานเท่านั้น ที่จริงแล้วการเดินออกไปนอกอาคารโดนแดดในช่วงเที่ยง-บ่าย ก็ส่งผลให้เกิดกระฝ้า และริ้วรอยเหี่ยวย่นได้เช่นกัน หากเราไม่ทาครีมกันแดดปกป้องผิว หรือไม่กางร่ม
รวมเคล็ดลับ ลดริ้วรอยบนใบหน้า มีวิธีไหนบ้าง ?
- ปกป้องผิวจากแสงแดด
ทุกครั้งที่รู้ตัวว่าจะต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดควรเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้ผิวหน้าและผิวกายต้องถูกอัลตราไวโอเลตในแสงแดดทำร้าย ด้วยการกางร่ม, สวมหมวกปีกกว้างปกปิดใบหน้าได้บางส่วน, สวมแมสก์เพื่อปกป้องผิวหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกลงไปถึงคาง, ทาครีมกันแดด หรือสาว ๆ บางคนนิยมโพกผ้าพันคอคลุมผมตอนไปเที่ยวทะเล เพื่อปกป้องผิวหน้าบริเวณด้านข้างเพื่อไม่ให้เกิดฝ้ากระ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดลงบ้าง
หลายคนที่อยากนอนหลับพักผ่อนให้มากพอแต่ด้วยภาวะความเครียดจากงานทำให้นอนไม่ค่อยหลับ เมื่อคนเราเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล มีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวให้ลดน้อยลง ผิวจึงขาดความยืดหยุ่น การนั่งสมาธิหรือฝึกโยคะหรือไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจจะช่วยลดความเครียดให้ดีขึ้นได้
- การทาครีมลดเลือน ต่อต้านริ้วรอยบนใบหน้า
เริ่มตั้งแต่การล้างหน้าอย่าถูกวิธี เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับปัญหาบนใบหน้าของแต่ละคน โดยเฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน C วิตามิน E ที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย และหมั่นทาครีมบำรุงผิวเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอ
- บริหารใบหน้าด้วยการทำโยคะหน้า
การฝึกโยคะเพื่อบริหารใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น กระชับตึงให้ใบหน้า เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้เซลล์เสื่อมช้าลงได้อีกด้วย
- นอนหงาย คือเคล็ดลับหน้าเด็ก
คนที่นอนตะแคงหรือชอบนอนคว่ำอยู่เป็นประจำ ใบหน้าจะมีริ้วรอยได้ง่ายกว่าการนอนในท่านอนหงาย นอกจากนี้ปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอนที่ทำจากผ้าซาติน ผ้าที่มีลักษณะนุ่มลื่นไม่ยับง่ายก็มีส่วนช่วยให้ไม่ให้ผิวหน้าเกิดริ้วรอยเมื่อสัมผัสกับเนื้อผ้าเป็นเวลานานระหว่างที่เรานอนหลับค่ะ
ลดริ้วรอยด้วยวิธีทางการแพทย์
- การทำเลเซอร์
ปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมที่หลากหลายในการลดริ้วรอยบนใบหน้าด้วยเลเซอร์ ทั้ง IPL, Fractional laser หรือ Nd:YAG ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ริ้วรอย จุดด่างดำลดน้อยลง
แต่กว่าจะเห็นผลต้องทำหลายครั้ง และต้องแลกด้วยความเจ็บ เลือกหมอยิงเลเซอร์ที่มีประสบการณ์เพียงพอ รวมถึงต้องดูแลผิวหน้าหลังทำด้วยการงดออกแดดในช่วงระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย
- ลดริ้วรอยด้วยการฉีดโบท็อก
นอกจากโบท็อก หรือ Botulinum toxin A (โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ) จะใช้ในการฉีดลดกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยแล้ว ยังใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้าให้ดูจางลง ส่วนผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ก็สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้รูขุมขนดูกระชับมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์ หลังฉีดแล้วตัวยาที่ฉีดเข้าไปตามจุดต่าง ๆ จะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลง ช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ริ้วรอยใต้ตาและรอยตีนกาดูจางลง เพราะผิวหนังจะไม่มีการพับตอนที่เราขยับเขยื้อนใบหน้าในบริเวณที่ทำ
หลังจากฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยแล้ว สามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1-2 อาทิตย์ สำหรับผลลัพธ์จะคงอยู่ในนานเพียงไรนั้นต้องขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้โบท็อกยี่ห้อไหน/รุ่นอะไรด้วย เนื่องจาก botox แต่ละตัวจะมีคุณสมบัติ, ระยะเวลาการออกฤทธิ์ รวมถึงจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหลังโบท็อกผลลัพธ์มักจะอยู่ได้นาน 4-5 เดือนโดยประมาณ
- ลดริ้วรอยด้วยการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับการลดริ้วรอยที่มีลักษณะเป็นร่องลึก ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ร่องตรงมุมปาก ใต้ตาที่เป็นร่องลึก หากฉีดโบท็อกหรือทำ hifu ที่เป็นการลดริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้าอาจยังไม่พอ โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาร่องลึกค่อนข้างมาก
ฟิลเลอร์เมื่อฉีดแล้วจะช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ผิวดูอิ่มฟู ใบหน้าดูเด็กลง เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
- ลดริ้วรอยด้วยการทำ Hifu Macrofocus
สำหรับคนที่มีปัญหารอยตีนกา, รอบดวงตามีริ้วรอย มีปัญหาร่องลึกใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นคนอายุเยอะ หรือคนที่อายุยังไม่มากแต่ไม่มีเวลาดูเองจนเกิดริ้วรอยบนใบหน้า (คนอายุเกิน 20 ปีก็สามารถทำไฮฟู่ได้แล้ว) หากต้องการจะลดริ้วรอย ยกกระชับใบหน้า นวัตกรรมด้านความงามอย่างการทำไฮฟู่ (หรือ Hifu Macrofocus) ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม และไม่มีเวลามากพอสำหรับการผ่าตัดศัลยกรรม
Hifu Macrofocus ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะในคนที่กลัวเจ็บจากเข็มฉีดยา สามารถช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ ตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า หลักการคือ จะการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ ที่ได้รับการพัฒนามาจากการอัลตร้าซาวด์ทางการแพทย์ซึ่งใช้ดูทารกในครรภ์มารดา ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวเพื่อช่วยยกกระชับผิวหนังที่มีปัญหาหย่อนคล้อย ช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลง จัดการกับปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างตรงจุด
- ลดริ้วรอยด้วยการฉีดเมโสหน้าใส
การชะลอและลดการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า ด้วยการทำเมโสหน้าใส (หรือ Mesotheraphy) คือ การฉีดวิตามินรวมถึงสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง ออกฤทธิ์เร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการทาครีม
การฉีดเมโสช่วยแก้ปัญหาบนผิวหน้า ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาแข็งแรงมากขึ้น ช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษสะสม ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เสริมสร้างคอลลาเจน ให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่เลือกรักษาริ้วรอยแบบเร่งด่วนด้วยวิธีทางการแพทย์แล้ว เช่น การฉีดโบท็อก ฟิลเลอร์ เมโสหน้าใส หรือทำ hifu หากต้องการให้ผลการรักษาคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ควรดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี ด้วยการปกป้องผิวจากแสงแดด หาเวลาพักผ่อนคลายเครียด ไม่นอนดึกบ่อย ๆ ลดปริมาณการรับประทานอาหารหวานจัดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อยืดเวลาแห่งความอ่อนเยาว์บนใบหน้าไว้ให้นานที่สุดค่ะ